จุดเริ่มต้น
บทบาทของเบต้า กลูแคน ได้จุดกระแสความมีประสิทธิภาพทางยาขึ้นในปี ค.ศ. 1975 โดยนายแพทย์ปีเตอร์ แมนเซล (peter W Mansell M.D.) ได้เขียนผลการศึกษาลงในวารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา โดยอธิบายการฉีดเบต้ากลูแคนเข้าไปในนื้องอกมะเร็งผิวหนัง (Melanoma) ของคนใข้ 9 คน พบว่า ขนาดของมะเร็งหดลดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลา 5 วัน และถ้าเป็นก้อนเล็กๆ จะหายไป
หลังจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็พากันตื่นตัว มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อความคืบหน้า เพราะมันเป็นรายงานจาก NCI (National cancer institute คือสถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกา) ซึ่งเชื่อถือได้
จุดเด่น
ในทศวรรษ 1980 (2523) เป็นต้นมา มีงานวิจัยสำคัญที่ควรนำมากล่าวถึงซึ่งสร้างประกายแห่งความมหัศจรรย์ทางเภสัชวิทยาให้กับเบต้ากลูแคน คือ การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาด โดย ดร.จอยซ์ ซอพ (Joyce K Czop Ph.D) และคณะ ได้รายงานถึงการค้นพบตำแหน่งบนผิวของเยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่ (Macrophage) ซึ่งจะจับกับเบต้ากลูแคนได้อย่างแม่นยำ และเฉพาะเจาะจง เปรียบเหมือนลูกและแม่กุญแจ ที่เข้ากันได้อย่างพอดิบพอดีของมันเท่านั้นตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งมีขนาด 1-2 ไมครอน เรียกว่า “ตัวรับเฉพาะ “ (Specific receptor)
ความน่าทึ่งของระบบภูมิต้านทานของร่างกายก็เพราะ ตัวรับเฉพาะนี้ มีมาตั้งแต่เกิดในเซลล์เม็ดเลือดขาว(เซลล์ภูมิต้านทาน) และจะอยู่ไปจนเราตาย เพื่อรอบรับแป้งบางชนิด นั่นคือ เบต้ากูแคน นั่นเอง เมื่อจับกันเมื่อใดความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาตินั่นคือ เซลล์ภูมิต้านทานจะตื่นตัว และทำงานได้อย่างแข็งขัน กว่าเดิมหลายเท่า เปรียบให้เห็นภาพก็เหมือน ป็อบอายได้กินผักขม
ธรรมชาติเป็นผู้กำหนดความสมดุลของจักวาลที่มหัศจรรย์เหนือคำบรรยาย ให้อาวุธแบบต่างๆกับสัตว์โลกไว้ต่อสู้กับศัตรูภายนอกเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของมันนับตั้งแต่สร้างโลกชนิดที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ความสามารถในการป้องกันอันตรายจากรังสีและต้านอนุมูลอิสระ
นักวิจัยจากคณะแพทย์ศาตร์ ของมหาวิทยาลัยทูเลน ได้รายงานการใช้ เบต้า 1, 3 กลูแคน ในคนไข้ผู้หญิง ฉีดโดยตรงเข้าที่หน้าอก บริเวณแผลมะเร็งเต้านม ซึ่งเกิดจากการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกและกำลังรักษาต่อด้วยการฉายรังสี (Radiation) พบว่า แผลดังกล่าวหายสนิท ด้วยขนาดที่ใช้คือ 10 มก. ต่อครั้ง นาน 3เดือน
ต่อมาใน ค.ศ. 1985 (2528) แพทย์หญิงไมรา แพทเชน (Myra D. Patchen M.D) และคณะนักวิยาศาตร์จากสถาบันวิจัยด้านรังสีของกองทัพสหรัฐอเมริกา (U.S. Amrmed Force Radiology research institute) ได้แถลงผลการทดลองสนสัตว์โดยการฉายรังสีขนาดแรงถึงตายกับหนูทดลอง หลังจากนั้นจึงให้หนูกิน เบต้า กลูแคน พบว่า หนูที่ถูกรังสีร้อยละ 70 สามารถอยู่รอดได้อย่างปลอดภัยโดยสมบูรณ์ ทั้งๆที่ควรจะตายทั้งหมด
แพทย์หญิงไมรา แพทเชน ได้สรุปว่า เบต้ากลูแคน ควรนำมาใช้เพื่อสร้างหรือฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและใช้เพื่อป้องกันอันตรายจากการให้ยาคีโม และฉายรังสีบำบัดในคนใข้มะเร็ง นอกจากนี้ยังแนะนำว่า เบต้า กลูแคน ยังช่วยทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์เม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่ (เซลล์ภูมิต้านทาน) จากอันตรายเพราะแสงรังสี สารพิษโลหะหนักอีกด้วย
การคีโมจะทำให้เม็ดเลือดขาวลดลงจนต่ำกว่าปกติเพราะไชกระดูกหยุดสร้าเม็ดโลหิต จึงเกิดความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคสารพัดอย่าง ได้ง่าย เพราะภูมิต้านทานบกพร่องซึ่งสถานะก็ไม่ต่างจากคนเป็นโรคเอดส์ อย่างไรก็ดี จากผลงานวิจัยต่างๆ แสดงให้เห็นว่า การกินเบต้ากลูแคน จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเม็ดโลหิตขาวบกพร่อง นอกจากนี้ ถ้าให้เบต้ากลูแคนร่วมกับสารคัดหลั่งชื่อ interferon gamma ซึ่งใช้รักษามะเร็งในปัจจุบันจะทำให้การทำลายมะเร็งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โรคมะเร็งชนิดใดก็ตามที่รักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งใช้ยาคีโม และฉายรังสีจึงควรกินเบต้า กลูแคนร่วมด้วย และผู้เขียนขอแนะนำว่า ถึงแม้รักษาด้วยวิธีใดก็ตาม การใช้เบต้า กลูแคน ในกรณีมะเร็งทุกรายเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพราะจะช่วยป้องกันการแทรกซ้อนจากรังสีและยังเสริมภูมิต้านทานอีกด้วย
ในช่วง ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) ดร.นิโคลัส ไดลูซิโอและคณะได้พิมพ์รายงานออกมเพื่ออธิบายถึงกลไกการทำงานของ เบต้า กลูแคน ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและวิธีระงับการเกิดมะเร็ง
จากการสังเกตของทีมวิจัยมีผลออกมาว่า การสร้างภูมิต้านทานของ เบต้า กลูแคน เกิดจากกระบวนการกระตุ้นการทำหน้าที่ของเซลล์แมคโคฟาจ (Macrophage) หรือเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดกินเชื้อโรค (Phagocyte) เซลล์ที่มีคุณสมบัติกินสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ รวมถึงเซลล์เพชฌฆาต ซึ่งเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ นอกจากจะมีจุดรับเฉพาะ เบต้า กลูแคน แล้วยังมีจุดไว้จับเชื้อจุลินทรีย์หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ เช่น ไวรัส ยีสต์ ปาราสิต และเซลล์มะเร็ง แต่โดยปกติการทำงานของเซลล์ภูมิต้านทานเหล่านี้จะด้อยประสิทภาพ อ่อนแอลงเนื่องจากอายุที่มากขึ้น อาหารไม่มีคุณภาพ มลภาวะต่างๆ อากาศที่เป็นพิษ ความเครียด ออกกำลังกายน้อย หรืออื่นๆ แต่จากการวิจัยพบว่า การได้รับ เบต้า กลูแคน ของ Macrophage มันจะพัฒนารูปร่างและการทำงานโดยเพิ่มอำนาจการกิน คือดุร้ายขึ้น และยังผลิตสารคัดหลั่งลายชนิดออกมาเพื่อเป็นคำสั่งไปยังภูมิต้านทานทั่วร่างกายให้ออกมาต่อสู้อีกด้วย รวมทั้งสั่งให้ฆ่าเชื้อต่างรวมทั้งเชื้อมะเร็งให้เน่าตายโดยการจับกินและเอาไปย่อยในตัวของมันแล้วคายออกมาเป็นชิ้นส่วนมะเร็งซึ่งเป็น Antigen ติดที่เยื่อหุ้มเซลล์ Macrophage และจะมีเซลล์ที่เรียกว่า Helper-T หลั่งสารเป็นสื่อคำสั่งให้ เซลล์ B Lymphocyte จัดการสร้างแอนติบอดี้ (Antibody) อย่างเฉพาะเจาะจงกับ Antigen มะเร็งนั้น (เหมือนเป็นการสร้างสัญลักษณ์มะเร็งชนิดนั้นติดตัวไว้) โดยจะผลิตมาเป็นล้านๆก๊อปปี้ ลอยไปตามกระแสเลือด เมื่อเจอมะเร็งที่ตรงกับ แอนติบอดี้ (Antibody) หรือสัญลักษณ์ มันก็จะไปเกาะติดเซลล์มะเร็งนั้นเพื่อเป็นเป้าให้เซลล์เพชฌฆาต กับเซลล์นักฆ่าทั้งหลายเห็นเซลล์มะเร็งได้โดยง่ายและมีการทำลายเกิดขึ้น ในขณะเดียยกันก็สั่งให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวมากขึ้นเพื่อปกป้องเซลล์ต่างๆต่อไป
มีการรายงานผลการศึกษาอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1963 (พ.ศ. 2506)
พบว่า เบต้า กลูแคน มีคุณสมบัติต้านมะเร็งหลายชนิดทั้งในสัตว์ทดลองและในมนุษย์
องค์การอาหารและยาของประเทศญี่ปุ่นได้อนุญาตให้ใช้ เบต้า กลูแคน เป็นสารกระตุ้นภูมิต้านทาน
เพื่อรักษาโรคมะเร็งและได้นำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งแบบแพทย์ทางเลือกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523)
เป็นต้นมาทั้งในประเทศญี่ปุ่นและจีน
มีนักวิทยาศาตร์กล่าวไว้ว่า “ในกรณีที่เกิดสภาวะวิกฤติเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ และท่านต้องเลือกสาร(ยา) เพื่อเอาไว้ต่อสู้กับโรคร้ายเพียงชนิดเดียว ท่านไม่ต้องคิดมากเลย เบต้า กลูแคนเท่านั้นที่ท่านควรเลือกไวใช้ เพราะไม่มีอะไรมาเทียบเคียงได้เลย”
การขัดขวางการทำงานของยาอื่น
เบต้ากลูแคน นับตั้งแต่ค้นคว้าจนถึงปัจจุบันไม่ปรากฏว่ามีผลกระทบที่เสียหายกับยาอื่นๆที่ใช้ร่วมด้วย
ตรงกันข้ามกลับพบว่ามีแต่เกื้อหนุนกันและกัน
จากสารานุกรม Wikipedia ยังไม่พบว่า เบต้า กลูแคน ขัดขางการทำงานของยาใดๆทั้งสิ้น
การรับประทานร่วมกับวิตตามินซี 1000-3000 มก. ต่อวันจะทำให้เบต้ากลูแคนมีสรรพคุณดีขึ้น (เป็นวิธีที่นิยมใช้รักษามะเร็งนญี่ปุ่น)
ทำให้ยาปฏิชีวนะและยาลดไขมันทำงานได้ผลดีมาก บางรายงานแนะว่าอาจกินยาทั้งสองน้อยลงได้
เพราะเบต้า กลูแคนโดยตัวมันเองก็ทำหน้าที่ทั้งสองอย่างได้ดีอยู่แล้ว เมื่อเสริมกันจึงทำให้คุณสมบัติสูง
และ สูงกว่าเอาผลของแต่ละตัวมารวมกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น